ศาลปกครองมีคำพิพากษาเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างโครงการแอชตัน อโศก

คำพิพากษาที่สร้างความหวั่นใจให้กับคนซื้อและเกิดคำถามตามมาอีกมากมาย

3

ศาลปกครองมีคำพิพากษา เพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างโครงการแอชตัน อโศกที่ออกให้แก่ บริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด กลายเป็นประเด็นร้อนและสร้างกระแสความหวั่นวิตกให้กับคนโดยทั่วไป เนื่องจากโครงการนี้สร้างเสร็จและโอนกรรมสิทธิ์กันมาได้กว่า 2 ปีแล้ว แม้ว่าจะยังมียูนิตเหลือขายอยู่แต่ก็เพียงไม่กี่ยูนิตของจำนวนทั้งหมด 783 ยูนิต ซึ่งการเพิกถอนใบอนุญาตครั้งนี้เท่ากับว่าโครงการนี้ก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาตมาตั้งแต่หลายปีที่แล้ว และขั้นตอนต่างๆ ที่ต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ต้นนั้นก็ผิดด้วยเช่นกัน การที่มีคำพิพากษาแบบนี้ออกมานั้นสร้างความวิตกกังวลให้กับคนที่มียูนิตอยู่ในโครงการนี้แน่นอน แม้ว่าทางบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด (มหาชน) จะออกมาชี้แจงแล้วว่าคำตัดสินของศาลปกครองยังไม่ใช่ที่สิ้นสุด โดยทางบริษัทจะมีการดำเนินการคัดค้านคำพิพากษาแน่นอน

กลุ่มของผู้ซื้อในตอนนี้คงต้องหาทางเรียกร้องหรือขอคำยืนยันจากฝั่งของเจ้าของโครงการเพื่อให้มั่นใจว่า พวกเขาจะยังมีสิทธิ์ในกรรมสิทธิ์อาคารชุดที่ซื้อไว้ตั้งแต่หลายปีที่แล้ว โดยในช่วงที่เปิดขายใหม่ๆ โครงการนี้สร้างกระแสและเป็น 1 ในโครงการที่มีการแย่งชิงกันมากที่สุด เนื่องจากทำเลที่ตั้งโครงการที่ถือได้ว่าหาได้ยากยิ่งแล้วในตอนนั้นและในอนาคต แม้ว่าราคาขายในตอนนั้นจะอยู่ที่มากกว่า 200,000 บาทต่อตารางเมตรก็ตาม แต่พอถึงช่วงเวลาที่โครงการก่อสร้างแล้วเสร็จและต้องโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงต้นปีพ.ศ.2561 กลับมีปัญหาเรื่องของการฟ้องร้องกันในส่วนของทางเข้า-ออกแบบที่เป็นข่าว ซึ่งกระบวนการต่างๆ ในชั้นศาลเพิ่งจะได้คำพิพากษาออกมาเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ.2564 นี่เอง แต่ช่วงเวลานั้นก็สร้างกระแสความไม่เชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อส่วนหนึ่งที่เลือกจะไม่โอนกรรมสิทธิ์และขอเงินคืนจากทางเจ้าของโครงการ แม้ว่าทางเจ้าของโครงการจะยืนยันว่ากระบวนการต่างๆ ไม่มีปัญหาแน่นอน และอีกปัจจัยที่มีผลให้ผู้ซื้อส่วนหนึ่งยังคงถือกรรมสิทธิ์ในโครงการนี้ต่อ เพราะว่าราคาขายต่อในช่วงหลังจากปิดการขายไปแล้วนั้นแตะ 300,000 บาทต่อตารางเมตร ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องของการฟ้องร้องกันก็ตาม

จากนี้ไปผู้ซื้อคงเข้าไปกดดันทางเจ้าของโครงการในเรื่องนี้ และคงมีการดำเนินการฟ้องร้องหรือขั้นตอนต่างๆ เพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขายังสามารถเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมในโครงการนี้ได้ต่อไปหรือเพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับการเยียวยาจากเจ้าของโครงการในอนาคตถ้าต้องออกจากโครงการนี้ไป และที่สำคัญคือ โครงการนี้มีเจ้าของร่วมเป็นชาวต่างชาติหลายรายเลย อีกทั้งบางส่วนไม่ได้อยู่ในประเทศไทยด้วยคงต้องรอดูทิศทางของความร่วมมือกันในกลุ่มของเจ้าของร่วมนี้ต่อไป

เจ้าของโครงการคงมีการดำเนินการทางกฎหมายต่อไปเพื่อเป็นการหาทางออกให้กับโครงการแน่นอน เพราะถ้าผิดจริงก็มีอีกหลายหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพราะโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จหลายปีแล้ว ผ่านกระบวนการขออนุญาตต่างๆ มาหลายขั้นตอนกว่าจะถึงวันนี้

กรณีของโครงการนี้อาจจะสร้างกระแสและความตื่นตัวในฝั่งของผู้ซื้อมากขึ้น เนื่องจากไม่มีใครอยากเกิดปัญหาแบบนี้แน่นอนในอนาคต ดังนั้น การพิจารณาเลือกซื้อคอนโดมิเนียมในอนาคตคงต้องเพิ่มความใส่ใจในเรื่องของทางเข้า-ออกให้มากขึ้น โครงการใดก็ตามที่อยู่ติดถนนหรือซอยที่เป็นทางสาธารณะแบบชัดเจนคงได้รับความสนใจมากกว่าโครงการที่ทางเข้า-ออกไม่ชัดเจนหรือดูคลุมเครือ เพราะผู้ซื้อมีความมั่นใจตั้งแต่วันที่เข้าไปดูโครงการแล้ว

นอกจากนี้ แม้ว่าคำพิพากษาที่ตัดสินออกมานั้นจะยังไม่ใช่บทสรุปหรือจุดจบของเรื่องนี้ซึ่งคาดว่าต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะเห็นทิศทางของบทสรุป แต่ก็คงสามารถยกให้เป็นกรณีศึกษาสำหรับเจ้าของโครงการในอนาคตได้เลยว่าการจะพิจารณาซื้อที่ดินเพื่อนำมาพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์นั้นทุกอย่างต้องชัดเจนตั้งแต่ก่อนวันซื้อที่ดินแล้ว เพราะถ้าเกิดการฟ้องร้องแบบนี้ก็มีสิทธิ์ที่เกิดความเสียหายขึ้นได้ บางโครงการที่เจอปัญหาแบบนี้ และมีการฟ้องร้องกันจนถึงขั้นสูงสุดนอกจากจะเสียเวลาแล้ว ยังต้องทั้งเงินทอง รวมไปถึงชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือด้วย