ถ้าที่ดินถูกปล่อยทิ้งร้างไม่ทำประโยชน์ 10 ปีอาจโดนยึดคืน

3

เป็นเรื่องฮือฮามาหลายวันแล้วสำหรับเรื่องที่มีข่าวออกมากว่า

รัฐบาลจะยึดคืนที่ดินที่ไม่ทำประโยชน์นานเกิน 10 ปี

เรื่องนี้ กรมที่ดินชี้แจงว่ามีบัญญัติในกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 6

โดยในกฎหมายบัญญัติว่า “นับตั้งแต่วันที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ใช้บังคับ บุคคลใดมีสิทธิในที่ดินตามโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ หากบุคคลนั้นทอดทิ้งไม่ทำประโยชน์ในที่ดิน หรือปล่อยที่ดินให้เป็นที่รกร้างว่างเปล่าเกินกำหนดเวลาดังต่อไปนี้

(1) สำหรับที่ดินที่มีโฉนดที่ดิน เกินสิบปีติดต่อกัน

(2) สำหรับที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เกินห้าปีติดต่อกัน

ให้ถือว่าเจตนาสละสิทธิในที่ดินเฉพาะส่วนที่ทอดทิ้งไม่ทำประโยชน์ หรือที่ปล่อยให้เป็นที่รกร้างว่างเปล่า เมื่ออธิบดี (กรมที่ดิน) ได้ยื่นคำร้องต่อศาล และศาลได้สั่งเพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินดังกล่าวให้ที่ดินนั้นตกเป็นของรัฐเพื่อดำเนินการตามประมวลกฎหมายนี้ต่อไป”

ส่วนการพิจารณาว่าที่ดินแปลงใดปล่อยทิ้งรกร้างว่างเปล่าก็มีระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการดำเนินการเกี่ยวกับที่ดินที่ถูกทอดทิ้งไม่ทำประโยชน์หรือปล่อยให้เป็นที่รกร้างว่างเปล่าให้ตกเป็นของรัฐ พ.ศ.2522 ลงวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ.2522

โดยจะพิจารณาถึงการทำประโยชน์ เพียงแต่ล้อมรั้วหรือเสียภาษีบำรุงท้องที่ แต่ไม่ทำประโยชน์ย่อมถือว่าเป็นการทอดทิ้งไม่ทำประโยชน์หรือปล่อยให้เป็นที่รกร้างว่างเปล่า

สำหรับที่ดินซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยในหมู่บ้านหรือในเมือง แม้จะยังไม่ได้ปลูกบ้านอยู่อาศัยแต่เจ้าของยังมีเจตนายึดถือเพื่อตนอยู่ให้ถือว่าที่ดินนั้นเป็นที่ดินที่ได้ทำประโยชน์แล้วโดยสภาพ

โดยภายในเดือนมกราคมของทุกปีทางจังหวัดจะสำรวจว่ามีที่ดินแปลงใดบ้างที่มีผู้ทอดทิ้งไม่ทำประโยชน์หรือปล่อยให้เป็นที่รกร้างว่างเปล่าเกินกำหนดเวลาสิบปีติดต่อกันสำหรับที่ดินที่มีโฉนดที่ดิน หรือห้าปีติดต่อกันสำหรับที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์

และรายงานกระทรวงมหาดไทยทราบ ซึ่งก่อนส่งเรื่องให้กระทรวงมหาดไทยจังหวัดจะแจ้งให้เจ้าของที่ดินเร่งทำประโยชน์บนที่ดินภายในสามเดือน ถ้ายังไม่ทำประโยชน์ใดๆ บนที่ดินก็จะเข้าสู่กระบวนการเพิกถอนสิทธิ์บนที่ดินแปลงนั้นๆ ต่อไป

แต่กรมที่ดินแจ้งว่า ตั้งแต่มีการประกาศระเบียบกระทรวงมหาดไทย พ.ศ.2522 ยังไม่เคยมีคำสั่งศาลให้เพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินให้ตกเป็นของรัฐเลยสักแปลง

แต่หลังจากนี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีหรือไม่