ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปีพ.ศ.2568 หรือเอาจริงๆ ตั้งแต่ช่วงปีพ.ศ.2563 เป็นต้นมาก็มีปัญหาหลากหลายทั้งภายในและภายนอกประเทศเข้ามามีผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบต่อเนื่อง ปีนี้ที่เห็นได้ชัดเจนน่าจะเป็นเรื่องของกำลังซื้อของคนไทยที่ลดลง ประกอบกับการที่คนจีนเข้าประเทศไทยลดลงซึ่งมีผลต่อภาคธุรกิจการท่องเที่ยว และตลาดคอนโดมิเนียมบ้าง เพียงแต่อาจจะยังไม่มากนัก เพราะ ณ ปัจจุบันคนจีนก็ยังเดินทางเข้าประเทศไทยมากเป็นอันดับที่ 1 เพียงแต่จำนวนอาจจะลดลงบ้างเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่มีแนวโน้มที่มากขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี และการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมของคนจีนก็ยังมากเป็นอันดับที่ 1 เช่นเดิม และมากกว่าอันดับที่ 2 และอันดับอื่นๆ มากแบบชัดเจน
อย่างไรก็ตามรายได้และกำไรของผู้ประกอบการในธุรกจอสังหาริมทรัพย์ช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ก็ยังอยู่ในอัตราที่สูง แม้อาจจะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่ผู้ประกอบการบางรายสร้างกำไรได้ต่อเนื่อง ในอัตราที่ไม่น้อยเลย แลนด์แอนด์เฮ้าส์อาจจะมีกำไรมากที่สุด แต่เพราะแลนด์แอนด์เฮ้าส์ทำธุรกิจหลากหลายมีรายได้จากหลายช่องทางจึงสร้างกำไรได้มากที่สุดแม้ว่าพวกเขาจะเปิดขายโครงการใหม่ไม่มากนักในช่วงที่ผ่านมา แสนสิริสร้างกำไรมากเป็นอันดับที่ 2 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในช่วงที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์อยู่ในภาวะชะลอตัวแบบที่ผ่านมา แสนสิริสามารถบริหารจัดการเรื่องของรายได้และกำไรได้เป็นอย่างดี ซึ่งนอกจากจะสร้างกำไรได้ดีแล้ว ยังมีผลต่อเนื่องไปถึงเรื่องของผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์สำหรับนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการผลตอบแทนจากการถือครองหุ้นระยะยาวที่คืนกลับมาในรูปแบบของเงินปันผล
แสนสิริ (SIRI) นอกจากจะสร้างรายได้และกำไรจากการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย โดยมีการบริหารจัดการเรื่องของรายได้ และกำไร รวมไปถึงเรื่องของการบริหารความเสี่ยงต่างๆ แบบต่อเนื่องมาโดยตลอด ผลตอบแทนจากการถือครองหุ้นของแสนสิริจึงมีความน่าสนใจเช่นกัน เนื่องจากหุ้นแสนสิริสามารถจ่ายเงินปันผลได้อย่างต่อเนื่อง แถมจ่ายเงินปันผลเฉลี่ยปีละ 2 ครั้งมาตลอดในช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าช่วง 10 ปีที่ผ่านมาของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยนั้นเจอกับปัญหา และปัจจัยลบต่างๆ มาโดยตลอด ซึ่งมีผลโดยตรงต่อเนื่องไปถึงเรื่องของรายได้และกำไรของผู้ประกอบการในตลาดสังหาริมทรัพย์ทั้งรายเล็ก รายกลาง และรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ แต่การที่หุ้นของบริษัทใดบริษัทหนึ่งสามารถจ่ายปันผลได้ต่อเนื่องมาตลอดเป็นระยะเวลา 10 ปีแสดงว่าบริษัทนั้นมีการบริหารจัดการเรื่องของรายได้และกำไรที่ดีแบบต่อเนื่อง
ถ้าพิจารณาย้อนหลัง 10 ปี หุ้นของแสนสิริมีอัตราของเงินปันผลอยู่ในช่วง 5 – 12% ต่อปี ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจ คือ ถ้านำผลตอบแทนหรือเงินปันผลของหุ้นแสนสิริมารวมกันจะพบว่าผู้ที่ถือหุ้นของแสนสิริในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาได้เงินปันผลกลับไปแล้ว 1.21 บาทต่อหุ้น ซึ่งถ้าอ้างอิงจากราคาหุ้นของแสนสิริปัจจุบันอยู่ที่ 1.54 บาท (ราคาหุ้น ณ วันที่ 15 ส.ค. 68) ดังนั้น คนที่ถือหุ้นแสนสิริมายาวๆ ก็เป็นไปได้ที่จะได้เงินปันผลกลับไปเกือบเท่ากับที่ลงทุนในเงินต้นแล้ว หรือบางคนอาจจะมากกว่าเงินต้นไปแล้วถ้าซื้อตอนที่ราคาหุ้นต่ำกว่านี้
การที่แสนสิริสามารถจ่ายปันผลได้เพราะผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ที่มีรายได้ 8,786 ล้านบาทมากกว่าไตรมาสที่ 1 ประมาณ 28% และมีกำไรสุทธิ 1,214 ล้านบาทเพิ่มขึ้นประมาร 49% จากไตรมาสที่แล้วเช่นกัน เพราะช่วงไตรมาสที่ 2 มีหลายโครงการของแสนสิริที่ปิดการขายได้ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด นอกจากนี้ช่วงครึ่งหลังของปีพ.ศ.2568 มีความเป็นไปได้มากที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะมีการขยายตัวในเรื่องของกำลังซื้อมากขึ้น เพราะแรงสนับสนุนจากลหายๆ ทางทั้งเรื่องมาตรการลดค่าโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองจากรัฐบาล มาตรการยกเว้น LTV จากธนาคารแห่งประเทศไทย การลดลงของดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยตามการลดลงของดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และธนาคารแห่งประเทศไทย รวมไปถึงมาตรการทางการตลาดของผู้ประกอบการต่างๆ ที่ออกมากระตุ้นกำลังซื้อในประเทศไทย
จากข้อมูลเรื่องของปันผลของหุ้นแสนสิริแสดงให้เห็นว่ามีความเหมาะสมกับนักลงทุนระยะยาว หรือ Value Investor เนื่องจากบ้านหรือที่อยู่อาศัยถือเป็นปัจจัย 4 ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์หรือมีปัจจัยลบอะไรก็ตาม ความต้องการที่อยู่อาศัยยังคงมีอยู่ เพียงแต่จะมีการขยายตัวในเรื่องของความต้องการมากน้อยอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจในแต่ละช่วงเวลา