บ้านจัดสรร

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทยยังอยู่ในช่วงชะลอตัว ดัชนีที่ชี้ชัดๆ อย่างดัชนีรวมหมวดที่อยู่อาศัย ณ ไตรมาสที่ 3 พ.ศ.2566 ซึ่งทางศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธรนาคารอาคารสงเคราะห์เผยแพร่ออกมานั้น ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้านี้ประมาณ 13.6% และอาจจะปรับเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 4

การประกอบธุรกิจสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าธุรกิจประสบความสำเร็จอาจจะต้องมองที่กำไรมากกว่ารายได้ เพราะกำไรหมายถึงส่วนที่เหลือจากต้นทุนและค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว ซึ่งถ้าพิจารณาผลประกอบการของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมานั้น แสนสิริสร้างกำไรได้สูงที่สุด โดยมีเอพีครองอันดับที่ 1 ในแง่ของรายได้  และมีความเป็นไปได้ที่แสนสิริจะทำกำไรได้มากเป็นอันดับที่ 1 ในปีนี้ เพราะดูจากโครงการที่รอโอนกรรมสิทธิ์ และที่จะเปิดขายใหม่ในช่วงต่อจากนี้ถึงสิ้นปี

กำลังซื้อหรือความต้องการบ้านในประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมาอาจจะยังมีอยู่ เพียงแต่การซื้อขายที่เกิดขึ้นจริงๆ ลดลง ซึ่งอาจจะมีสาเหตุมาจากปัจจัยอื่นๆ โดยเฉพาะเรื่องของการขอสินเชื่อธนาคารที่ทำได้ยากมากขึ้น ซึ่งทั้งกลุ่มของผู้ซื้อที่สถาบันการเงินปฏิเสธสินเชื่อ และกลุ่มของผู้ที่ขอสินเชื่อแล้วสถาบันการเงินให้สินเชื่อไม่เต็มจำนวนของมูลค่าบ้านหรือคอนโดมิเนียม แม้ว่า กลุ่มเหล่านี้จะไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่จะโดนลดวงเงินสินเชื่อตามเกณฑ์ของ LTV ซึ่งเมื่อการขอสินเชื่อธนาคารทำได้ยากย่อมมีผลต่อเนื่องมาถึงการโอนกรรมสิทธิ์บ้านและคอนโดมิเนียมแน่นอน นอกจากนี้ยังมีผลต่อเนื่องไปถึงความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ

ตลาดที่อยู่อาศัยทั้งบ้านจัดสรร และคอนโดมิเนียมในกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ในช่วงไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา ยังอยู่ในภาวะชะลอตัวแบบชัดเจน โครงการเปิดขายใหม่อาจจะมีจำนวนลดน้อยลงเมื่อเทียบกับช่วง 2 ไตรมาสแรกของปี แต่ด้วยจำนวนยูนิตเปิดขายใหม่ในช่วง 2 ไตรมาสแรกของปีมีค่อนข้างเยอะ

บ้านเดี่ยว 3 ชั้นอาจจะเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่จำนวนยังไม่มากนัก เมื่อเทียบกับบ้านเดี่ยวที่มีความสูงต่ำกว่า 3 ชั้น โดยสัดส่วนของบ้านเดี่ยว 3 ชั้นในกรุงเทพมหานครอยู่ที่ประมาณ 6% ของบ้านเดี่ยวทุกแบบในกรุงเทพมหานครซึ่งมีจำนวนรวมของบ้านเดี่ยวทุกประเภทอยู่ที่ประมาณ 23,130 ยูนิต ในจังหวัดอื่นๆ อาจจะต่ำกว่านี้ค่อนข้างมาก...

โครงการบ้านจัดสรรโดยทั่วไปจะเป็นบ้านแบบ 1 – 3 ชั้น แต่ในปัจจุบันบ้านเดี่ยวที่มีมากกว่า 2 ชั้นเริ่มมีให้เห็นมากขึ้นโดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครซึ่งมีความหลากหลายในประเภทบ้านจัดสรรมากกว่าที่อื่น เพราะผู้ประกอบการต้องการพัฒนาโครงการออกมาให้ตรงกับความต้องการของผู้ซื้อในตลาดมากที่สุด อีกทั้งราคาที่ดินที่แพงขึ้นก็เป็นอีก 1 ปัจจัยที่ทำให้บ้านจัดสรรในกรุงเทพมหานคร

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) เปิดเผยผลสำรวจว่า สัดส่วนการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยของคนไทยลดลง ซึ่งปัจจัยหลักๆ คือ จำนวนที่อยู่อาศัยทั้งในกรุงเทพมหานคร และปริมณฑลขยายตัวมากขึ้น โดยในช่วงประมาณปีพ.ศ.2557 – 2565 มีการขยายตัวเฉลี่ยประมาณ 2.6% ต่อปี

ตลาดที่อยู่อาศัยในปีพ.ศ.2566 ยังอยู่ในช่วงชะลอตัวแบบชัดเจน โครงการเปิดขายใหม่ลดลงมากเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แม้ว่าหลายๆ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจดูเหมือนจะดีขึ้น โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมที่มีโครงการเปิดขายใหม่ลดลงมาก ผู้ประกอบการหลายรายเลือกที่จะเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมลดลง แล้วไปเน้นที่การเปิดขายโครงการบ้านจัดสรร และการปิดการขายโครงการที่สร้างเสร็จแล้ว

ตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีพ.ศ.2566 อาจจะไม่ได้ขยายตัวมากแบบที่มีการคาดการณ์ แม้ว่าอาจจะมีผู้ประกอบการหลายรายออกมาบอกว่าตลาดที่อยู่อาศัยผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และกำลังจะขยายตัวหรือดีขึ้นแน่นอน เพียงแต่การดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้อาจจะไม่ใช่การปรับตัวดีขึ้นหรือกลับขึ้นมาอยู่ในจุดที่ดีกว่าช่วงโควิด-19 เพราะยังมีปัจจัยลบเยอะมากทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ ปัจจัยลบทางการเมืองอาจจะหมดไปแล้วหลังจากที่การจัดตั้งรัฐบาลผ่านไป มีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี แต่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ

ตลาดที่อยู่อาศัยทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรในต่างจังหวัด โดยเฉพาะในจังหวัดที่ไม่ไกลจากกรุงเทพมหานครซึ่งอาจจะเคยมีโครงการเปิดขายมากมายในช่วงปีพ.ศ.2555 – 2556 แต่จากนั้นก็ลดลงและมีโครงการเปิดขายใหม่ตามภาวะตลาด ณ ตอนนั้น ตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดเพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ก็เป็นเช่นเดียวกัน แม้ว่าจะมีจุดขายเป็นเมืองท่องเที่ยวชายทะเลที่ไม่ไกลจากกรุงเทพมหานคร